KNBKนำเข้า
ความเป็นมา
ทางบริษัทนำเข้ารูปปั้นจำลองทางศาสนา จากประเทศอินเดีย เพื่อเคารพและบูชา ตามความเชื่อจากการขอพร เพื่อประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ด้านเงินทอง ธุรกิจ ความรัก โชคลาภ และเสริมดวง ทางบริษัทได้นำเข้ารูปปั้น อาทิเช่น พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่กาลี รวมทั้งเครื่องประดับที่สั่งทำพิเศษเพื่อเสริมมงคลชีวิต
ประวัติพระพิฆเนศ
พระพิฆเนศ เป็นเทพเจ้าที่หลายคนให้ความเคารพบูชา โดยคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยในการพบเห็นรูปปั้นของพระพิฆเนศที่มีเศียรเป็นช้างและมีร่างกายเป็นมนุษย์นั่งอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ทองคำปูด้วยพรมแดงตามสถานที่ต่าง ๆ และเป็นที่เคารพบูชากราบไหว้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะมีความเชื่อว่า พระพิฆเนศ เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะ ความรู้ และความสำเร็จ
พระพิฆเนศ เป็นเทพเจ้าของชาวฮินดู เป็นพระโอรสของพระศิวะ เชื่อว่าพระพิฆเนศเป็นองค์เทพผู้ขจัดความขัดข้อง และเป็นผู้ที่อำนวยความสำเร็จให้กับกิจการทั้งหมดทั้งปวง ชาวอินเดียเมื่อจะประกอบพิธีต่าง ๆ ทางศาสนา หรือมีการเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ ด้านศิลปะ จะต้องบูชาและทำความเคารพต่อองค์พระพิฆเนศก่อน เพื่อขอความสำเร็จให้กิจการและการเรียนนั้น ๆ
ประวัติของพระพิฆเนศ ตามตำราเล่าว่า เป็นโอรสที่พระแม่ปารวตี พระมเหสีของพระศิวะ ได้เสกขึ้นมาเพื่ออยู่คอยรับใช้ครั้งที่พระศิวะเสด็จไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานาน ครั้งนั้นพระแม่ปารวตีต้องอยู่เพียงลำพัง จึงเสกโอรสขึ้นมาเพื่อดูแลและปกป้องบุคคลที่จะเข้ามาทำร้ายและก่อความวุ่นวาย
มีอยู่คราวหนึ่งที่พระแม่ปารวตีต้องการสรงน้ำในพระตำหนักด้านใน จึงได้สั่งให้พระโอรสคอยนั่งเฝ้าหน้าประตูไว้ และรับสั่งว่า ห้ามให้ใครก็ตามเข้ามาในพระตำหนักของพระองค์ทั้งสิ้น แต่เป็นคราวเดียวกันกับที่พระศิวะเสด็จกลับมายังพระตำหนัก เมื่อต้องการเข้าไปข้างในกลับพบเด็กหนุ่มนั่งขวางไว้ไม่ให้เข้าตามคำรับสั่งของพระมารดา
พระศิวะโกรธมากที่ถูกขวาง ทั้งสองจึงทะเลาะกันใหญ่โตจนเทพทั่วทั้งสวรรค์ต่างเกิดความวิตกเกรงกลัวต่อหายนะที่จะเกิดขึ้น ในที่สุดพระโอรสก็ถูกตรีศูลของพระศิวะตัดศีรษะขาดจนสิ้นใจ โดยที่พระศิวะไม่ได้ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นทรงเป็นพระโอรสของพระมเหสีของตนที่ถูกเสกขึ้นมา
เมื่อพระแม่ปารวตีได้ยินเสียงดังครึกโครมก็เดินออกมาดู และเมื่อเห็นว่าพระโอรสของนางถูกปลิดชีพโดยพระสวามี พระนางจึงตัดพ้อต่อว่าพระศิวะ และโศกเศร้าโศกาเป็นอย่างมาก พระศิวะเมื่อทราบความจริงก็รับปากว่าจะฟื้นคืนชีพพระโอรสให้ แต่หาศีรษะของพระโอรสไม่พบ จนเกือบจะเลยเวลาที่จะสามารถฟื้นคืนชีพได้ จึงได้รับสั่งเทพยดาที่คอยรับใช้พระองค์ว่าให้ออกตามหาศีรษะของสัตว์มา โดยให้นำศีรษะของสัตว์ตัวแรกที่พบมาให้พระองค์
เทพยดาเหล่านั้นจึงออกตามหาและได้พบกับช้าง จึงได้ตัดเอาศีรษะของช้างมาให้พระศิวะ พระศิวะจึงต่อเศียรคืนให้พระโอรสเพื่อคืนชีพ พร้อมกับยกย่องและตั้งพระนามให้ว่า พระพิฆเนศ ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรคและความทุกข์ยาก โดยได้อวยพรเอาไว้ว่า ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งหมดจะต้องมีการทำพิธีบูชาองค์พระพิฆเนศก่อน เพื่อความสำเร็จของพิธีเหล่านั้น
จากนั้นมา พระพิฆเนศจึงได้เป็นเทพที่เป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จทั้งปวง โดยได้รับความเคารพจากชาวฮินดูอย่างมาก เพราะเดิมทีชาวฮินดูจะนับถือเทพทุกชนิดที่เป็นสัตว์ และเชื่อว่าช้างเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด จึงยกให้พระพิฆเนศเป็นหัวหน้าของเหล่าเทพทั้งหลายนั่นเอง
บทสวดสักการะพระพิฆเนศ
บทสวดสักการะพระพิฆเนศ🙏
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
โอม ศรีคะเนศายะนะมะ ชะยะคะเณศะ ชะยะคะเณศะ ชายะคะเณศะ เทวา มาตา ชากี
ปะระ วะตี ปิตามะหา เทวา ละฑุวัน กา โกคะ ละเค สันตะ กะเร เสวา เอก ทันตะ
ของไหว้พระพิฆเนศ
- น้ำสะอาด 1 แก้ว
- นมรสจืด หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
- ดอกไม้หรือพวงมาลัย ดอกบัว ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ
- ผลไม้มงคล เช่น กล้วย มะพร้าว อ้อย สับปะรด ส้มขนมหวาน เช่น ขนมลาดูโมทกะข้าว ข้าวเปล่า 1 ถ้วย
- ธูป 9 ดอกเ
- ทียน 2 เล่ม
ประวัติพระแม่ลักษมี
ตำนานพระแม่ลักษมี ข้อมูลจากโหรชี้ชัด รวบรวมไว้ว่า มีกำเนิดจากฟองน้ำ ในคราวเทวดาและอสูรกวนเกษียรสมุทรทำน้ำอมฤต จึงได้นามว่า ชลธิชา (เกิดแต่น้ำ) หรือ กษีราพธิตนยา (ลูกสาวแห่งทะเลน้ำนม) ในขณะที่ผุดขึ้นมานั้นนั่งมาในดอกบัวและมือถือดอกบัวด้วย จึงมีอีกนามหนึ่งว่า ปัทมา หรือ กมลา แต่ในคัมภีร์วิษณุปุราณะจะกล่าวไว้ว่า พระแม่ลักษมีเป็นธิดาของพระฤๅษีภฤคุกับนางขยาติ
โดยพื้นฐาน “พระลักษมี” ถือกันว่าเป็น เทพนารีผู้อำนวยโชค มีน้ำพระทัยเมตตาปรานีอยู่เป็นนิจ เป็นตัวอย่างแห่งนางที่งามตลอดทั้งรูปและกิริยามารยาท มีวาจาเปี่ยมด้วยเสน่ห์และไพเราะ ทั้งถือกันว่าเป็นผู้นำมาซึ่งความเจริญทุกประการ นับกันว่าเป็นผู้อุปถัมภ์บรรดาสตรีทุกชั้น แต่ด้วยเหตุการณ์หนึ่งซึ่งมีฤๅษีนามว่า “ภฤคุ” (อ่านว่า พะ-รึ-คุ) เป็นหนึ่งใน 7 ฤๅษีผู้ยิ่งใหญ่ หรือ “สัปตะฤๅษี” เป็นผู้ที่รวบรวมหลักทฤษฎีโหราศาสตร์พระเวท ทั้งหลักทฤษฎีและตัวอย่างดวงชะตาทางโหราศาสตร์เอาไว้จำนวนมากมาย
ครั้งหนึ่งบรรดาฤๅษีผู้ยิ่งใหญ่ได้มารวมตัวกันริมแม่น้ำสรัสวดี เปิดประเด็นถกกันว่าในบรรดาเทพสูงสุด 3 องค์ (ตรีมูรติ ได้แก่ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์) เทพองค์ใดยิ่งใหญ่ที่สุด และคู่ควรกับการถวายยัญหรือ “บูชายัญ” ในสัดส่วนที่ควรได้รับมากที่สุด ซึ่งก็หาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ฤๅษีทั้งหมดจึงตัดสินใจให้ “ภฤคุมุนี” เป็นผู้หาโจทย์ไปทดสอบและตัดสินหาข้อสรุปมาด้วยว่าเทพองค์ใดใน 3 องค์ยิ่งใหญ่ที่สุด
มหาฤๅษีภฤคุเริ่มจากการเดินทางไปพบพระพรหม ผู้ซึ่งเป็นบิดาของภฤคุมุนี ขณะนั้นพระพรหมกำลังท่องสวดพระเวทและใช้เวลาอยู่กับพระแม่สรัสวตี (พระมเหสี) จึงไม่ได้สนใจให้การต้อนรับภฤคุเท่าใดนัก ทำให้ภฤคุโกรธมากและเริ่มก่นด่าพระพรหม สร้างอารมณ์โกรธกริ้วแก่พระพรหมและพระสรัสวตียิ่งนัก ภฤคุจึงชิ่งหนีพร้อมให้คะแนนพระพรหมไว้ในระดับต่ำ จุดหมายต่อไปของภฤคุก็คือเขาไกรลาศ เพื่อพบพระศิวะ ผู้ซี่งกำลังสนทนาด้วยกิจกรรมเข้าจังหวะกับพระแม่ปารวตี (พระมเหสี) พระโคนนทิ (พาหนะของพระศิวะ) ก็ออกมาขวางไว้ไม่ให้เข้าพบ ภฤคุก็เลยได้แต่ตะโกนด่าพระศิวะ สร้างความรำคาญและโกรธกริ้วแก่พระศิวะเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังได้พระปารวตีคอยปรามดึงอารมณ์ไว้ ภฤคุเห็นเช่นนั้นจึงชิ่งหนีออกมาโดยไว และให้คะแนนพระศิวะไว้ปานกลาง แล้วเดินทางต่อไปยังทะเลไวกูณฐ์ ที่ประทับพระนารายณ์
เมื่อภฤคุมาถึงก็เข้าถึงตัวพระนารายณ์และพบว่าท่านหลับอยู่ (พระนารายณ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการบรรทมอยู่แล้ว) ภฤคุเรียกปลุกเท่าใด ส่งเสียงด่าทอเท่าใด ก็ไม่ตื่น ภฤคุมุนีโมโหมาก จึงกระโดดถีบไปที่ยอดอกของพระนารายณ์ ซึ่งก็ได้ผลตามต้องการ คือพระนารายณ์ตื่นจากบรรทม โดยไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ก็ปรากฏเป็นรอยฝ่าเท้าฝากเอาไว้บนพระอุระของพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์เห็นฤๅษีภฤคุก็เข้าไปต้อนรับพร้อมก้มลงไปจับเท้าภฤคุ ถามว่า “พระอาจารย์เจ็บเท้าหรือไม่ ?” ภฤคุเห็นดังนั้นก็เกิดปีติปลาบปลื้มในจริยวัตรของพระนารายณ์ จึงให้คะแนนระดับสูงทะลุเพดาน พร้อมกับประกาศเลยว่า “พระนารายณ์” คือ เทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดใน 3 เทพตรีมูรติ !!
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจคิดว่า “พระแม่ลักษมี” อยู่ที่ไหนกันล่ะ ? ตัวละครลับผู้เป็นปฐมเหตุแห่งการเล่าเรื่องราวก็จากนี้นี่ล่ะ พระนารายณ์ท่านไม่ได้เจ็บปวดใด ๆ เรื่องก็น่าจะจบ แต่ก็มีบุคคลหนึ่งไม่จบ มีบุคคลที่เจ็บปวดโมโหโกรธาแทนผู้เป็นสามียิ่งนักก็คือ “พระแม่ลักษมี” ก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ 1. ฤๅษีมฤคุกระทำการหยามเกียรติพระสวามีโดยการถีบพระนารายณ์ 2. พระอุระของพระนารายณ์เป็นที่สถิตของมเหสีผู้เป็นที่รักปานดวงใจ หัวใจของพระนารายณ์มีเพียงพระแม่ลักษมีเท่านั้น เมื่อถีบยอดอกพระนารายณ์ก็เสมือนถีบยอดหน้าพระแม่ลักษมีนั่นเอง
พระแม่ลักษมีจึงร่ายคำสาปด้วยวาจาสิทธิ์ว่า “เมื่อฤๅษีภฤคุเหยียดหยามเราและสามีเราเช่นนี้ เราจะไม่ไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเหล่าพราหมณ์ ฤๅษี มุนี และนักบวชอีกต่อไป” ทำให้ภฤคุตกใจมากถึงกับเข่าอ่อน เนื่องจากการไม่ไปเยี่ยมเยือนจะส่งผลให้เหล่านักบวชขาดลาภสักการะ กลายเป็นคนยากจนข้นแค้น ต้องขอทานกินประทังชีวิตไปวัน ๆ ภฤคุจึงละล่ำละลักขอโทษขอโพยพระแม่ลักษมี ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อยืนยันว่าพระนารายณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดใน 3 เทพ ทำให้พระแม่ลักษมีอารมณ์เย็นลง และกล่าวว่า “คำสาปที่ลั่นวาจาออกไปแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ ก็เพิ่มเติมเงื่อนไขให้เป็นทางออกก็แล้วกัน หากแม้นเหล่าพราหมณ์ ฤๅษี นักบวชคนใดเหล่าใด ยังเพียรบูชาพระนารายณ์ด้วยยัญหรือตามวิถีทางต่าง ๆ ข้าจะยังไปเยี่ยมครอบครัวนั้น ๆ ตามปกติ” เรื่องราวจึงจบลงด้วยความสงบสุข
บทสวดสักการะพระแม่ลักษมี
สวดคาถาบูชาพระพิฆเนศก่อนทุกครั้ง
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
คาถาบูชาพระลักษมีแบบย่อ
โอม พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มหาลาโภ ทุติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มหาลาโภ ตะติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตตัญจะ มหาลาโภ หรือ “โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา”
คาถาบูชาพระแม่ลักษมีแบบเต็ม
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ) โอม ชยะ ศรี ลักษมี มาตา (3 จบ) โอม ศรี ลักษะมิไย นะมะห์ (3 จบ) โอม มหาลักษะ มิไย นะโม นะมะห์ โอม วิษณุ ปรียาไย นะโม นะมะห์ โอม ธะนะ ประทาไย นะโม นะมะห์ โอม วิศวา จะนันไย นะโม นะมะห์ ยา เทวี สะระวะ ภูเตชุ ลักษมี รูเปนะ สัม สะถิตา นะมัส ตัสไย / นะมัส ตัสไย / นะมัส ตัสไย นะโม นะมะห์ นะโมเม องค์พระแม่ลักษมีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทีเปธูปะผานัง สักการะวันทนัง สุ ปัพพยันนัง โภชนานัง สปริวารัง อุททังวรัง อาคัจฉันตุ ปริภัณชันตุ สัพพุทติ หิตา ยะ สุขายะ สันติ อุเทวานัง เตปิถุมเหอนุรักขันติ อาคัจฉา หิมานิมามา
ของไหว้พระแม่ลักษมี
- ดอกบัวสีชมพู 8 ดอก (หรือดอกไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีสีแดงหรือชมพูก็ได้)
- เครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำเปล่า, น้ำอ้อย หรือ นม
- ผลไม้มงคล 9 หรือ 5 อย่าง หรือ แอปเปิลแดง 5-8 ลูก
- ขนมพื้นบ้านของอินเดีย เช่น ขนมดอกบัวชมพู, โมทกะ, ลาดู หรือ ขนมดอกกุหลาบ
- เทียน 2 เล่ม
- ธูป 9 ดอก
- กำยาน หรือเครื่องหอม
การสวดบูชาพระแม่ลักษมีนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วยบทสวดบูชาพระพิฆเนศก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยกล่าวบทสวดถึงพระแม่ลักษมี
ประวัติพระแม่กาลี
พระแม่กาลี เป็นปางหนึ่งของพระศรีมหาอุมาเทวี หรือพระแม่อุมาเทวี ชายาของพระศิวะ หนึ่งในสามมหาเทพสูงสุดแห่งจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดย พระแม่กาลี ถือกำเนิดมาจากการบำเพ็ญตบะของพระแม่อุมาเทวี และประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขตอุทยานป่าหิมพานต์ เพื่อกำจัดยักษ์ชื่อ มาธู หรือ ทารุณ (อสูรทารุณ) ผู้เคยได้รับพรวิเศษจากพระศิวะให้เป็นอมตะ แต่มีความเหลิงในพรวิเศษและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน เทวดา และนางฟ้า
ซึ่งในการต่อสู้กับอสูรครั้งนั้น พระแม่กาลีได้ใช้ดาบฟันคออสูรทารุณขาด แต่ทว่าเมื่อเลือดหยดลงพื้นดิน อสูรก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นตามหยดเลือด ทำให้พระแม่กาลีต้องดื่มเลือดของอสูรจนอวบอ้วน และมีเลือดไหลอยู่ที่มุมปาก มือก็ถือหัวของอสูรทารุณ และหัวอสูรอื่น ๆ แล้วนำมาร้อยเป็นพวงห้อยคอ จนในที่สุดพระแม่กาลีก็ได้รับชัยชนะ และเป็นที่มาของการสร้างรูปเคารพของพระแม่กาลี ที่มีลักษณะเป็นหญิงผิวดำ มีหน้าตาดุดัน เพื่อแสดงถึงอำนาจที่อยู่เหนือสิ่งชั่วร้ายนั่นเอง
นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีวันบูชาพระแม่กาลีคือ มหากาลีบูชา ผู้ศรีทธาจะถวายเครื่องสังเวยชุดใหญ่และสวดมนต์บูชาตลอดทั้งวันคืนด้วย
บทสวดสักการะพระแม่กาลี
โอม ศรี มหา กาลิกาไย นะมะห์ (3 จบ)
โอม ชยะตี มหากาลี ชาตี อาธยะ กาลี มาตา
ชยะรูปะ ประัญทิกา มหากาลิกะ เทวี
ชายตีรักตาสะนะเราทะระมูจิ รุทะรานี
เอริ โศนิตขะไประ ภาระนี ขัททะคะ จำได้ว่า สุจี ปาณนี ฯ
ทำความสะอาดบริเวณพื้นที่บูชารูปเคารพพระแม่กาลี จากนั้นวางชามข้าวขนาดเล็กใส่ข่าวสารดิบ น้ำแร่ เกลือ และดอกไม้สีแดงวางบนถาด เสร็จแล้วจุดธูปนั่งสวดภาวนาอย่างสงบ
เริ่มทำพิธีบูชาในเวลาเที่ยงคืน (ประมาณ 23.50-00.50 น.) โดยหันหน้าไปทางทิศเหนือ
- การแต่งกายให้ใส่สีแดง สีส้ม หรือสีส้มแดง ยกเว้นลัทธิตันตระใส่เครื่องแต่งกายสีดำได้
- แท่น หิ้ง หรือโต๊ะบูชาควรปูด้วยผ้าสีแดงก่อนแล้วค่อยวางเทวรูปหรือรูปเคารพพระแม่กาลี
- จุดตะเกียงน้ำมันมัสตาร์ด
- ถวายด้วยดอกชบาสีแดง ดอกกุหลาบสีแดง หรือดอกไม้สีแดงอื่น ๆ งาดำผสมงาขาว มะพร้าวทั้งลูก
- สวดคาถาบูชาพระแม่กาลีแบบย่อ “โอม ฮรีม กาลิกาเย นะมะห์” 108 ครั้ง
- ถวายซินดูร์ (Sindoor) กับฟักทองขาวผ่าครึ่ง
- ควรนำเครื่องบูชาทั้งหมดไปลอยน้ำในวันวิสรชัน (Visarjan)